วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556

ปรับหุ่นให้สวยเช้งด้วย Adobe Photoshop


ปรับหุ่นให้สวยเช้งด้วย Adobe Photoshop


สำหรับใครที่มีปัญหาทางด้านรูปร่าง หรือต้องการหัดปรับแต่งรูปภาพด้วย Adobe Photoshop วันนี้เรามีวิธีการง่ายๆ ในการปรับแต่งรูปภาพของคุณให้มีหุ่นสวยงามเหมือนนางแบบ ด้วยคำสั่ง Filter คำสั่งย่อ่ย Liquify รับรองมือใหม่หัดใช้ Photoshop ก็สามารถทำได้เช่นกัน

อยากปรับภาพของตัวเองให้สวยดังใจ เชิญทำตามได้เลยครับ

Photoshop Filter Liquify

วิธีใช้คำสั่ง Liquify

Retouch Virtual Weight Loss

  1. เปิดโปรแกรม Adobe Photoshop
  2. เลือกรูปภาพที่เราต้องการปรับแต่ง (ควรเลือกภาพที่เน้นรูปร่างสักนิด) สามารถหารูปได้ง่ายๆ จาก Google.com
  3. คลิกคำสั่ง Filter
  4. เลือกคำสั่งย่อย Liquify
  5. จากนั้น โปรแกรมจะเปิดหน้าต่างใหม่ และเข้าสู่หน้า Filter Liquify
  6. คลิกไอคอนด้านซ้ายมือด้านบน ที่เป็น รูปมือชี้ (Forward Wrap Tool)
  7. ส่วนด้านซ้าย Tool Options
  8. ให้ปรับขนาดของแปรงตามต้องการ (ช่อง Brush Pressure ควรมีตัวเลขมากหน่อย อย่างน้อย 50-90)
  9. เลื่อนเม้าส์มาที่ภาพ ในบริเวณที่ต้องการปรับแต่ง เช่น เอว เป็นต้น
  10. คลิกเม้าส์ค้าง และดึงเข้าหารูปภาพ (ต้องลองทดสอบดู)
  11. ปรับแต่งส่วนต่างๆ ตามต้องการ
การทดสอบนี้ใช้โปรแกรม Adobe Photoshop CS3 น่ะครับ

ที่มา  http://www.it-guides.com/training-a-tutorial/photoshop/1057-adobe-photoshop-liquify-filter

เทคนิคง่ายๆ ในการปรับเปลี่ยนสีของรูปภาพ


เทคนิคง่ายๆ ในการปรับเปลี่ยนสีของรูปภาพ

Replace Color with Photoshop CS
อีกหนึ่งวิธีในการตกแต่งรูปภาพที่หลายๆ นิยมใช้กัน ก็คือการเปลี่ยนสีของรูปภาพ เช่น การเปลี่ยนสีผม, สีของสิ่งของต่างๆ, สีของดอกไม้ เป็นต้น โดยปกติ ถ้าเราใช้คำสั่ง Fill (เติมสี) จะทำให้สีที่ได้มีความแข็งกระทั่ง ไม่มีมิติ ดังนั้น เราควรใช้เทคนิคการ replace color แทนการ Fill

วิธีการ Replace Color รูปภาพ

Replace color
  1. เปิดโปรแกรม Adobe Photoshop
  2. คลิกเมนู Images
  3. เลือก Adjustments
  4. เลือกหัวข้อ Replace Color
  5. จะได้หน้าต่างการปรับค่า ให้เริ่มจากการ เอาหลอดดูดสี เลือกสีที่ต้องการ
  6. จากนั้นดูตัวอย่างสีที่เลือกในช่อง preview
  7. ถ้ายังไม่ครอบคลุมสีที่ต้องการ ให้คลิกปรับ Fuzziness มาทางขวามือ
  8. ถ้าเลือกสีได้ครอบคลุมแล้ว ให้เลือกปรับเปลี่ยนสีโดยการคลิกหัวข้อด้านล่าง "Replacement"
  9. ทดลองปรับทีละข้อ (มี 3 ข้อ คือ Hue, Saturation, Lightness)
  10. คลิกปุ่ม OK เพื่อยืนยัน
ลองๆ ทำดูก่อน ถ้ายังไม่ได้ ให้อ่านทีละหัวข้อให้ละเอียดอีกครั้งหนึ่งน่ะครับ? รับรองว่าทำได้แน่นอน? โปรแกรมเวอร์ชั่นของ Adobe Photoshop ที่ทดสอบคือ Photoshop CS3

ที่มา  http://www.it-guides.com/training-a-tutorial/photoshop/390-replace-color-photoshop-cs

ราเมนชามนี้จะไม่ทำให้คุณเหงาอีกต่อไป


[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] เชื่อว่า คุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip หลายๆ ท่านน่าจะชื่นชอบ ราเมน (Ramen) อาหารเส้นจากแดนปลาดิบกันพอสมควร แม้มันจะไม่ใช่อาหารที่มีคุณประโยชน์มากนัก แต่มันก็ช่วยให้คุณอิ่มอร่อยในบางมื้อได้เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม การนั่งทานราเมน หรือบะหมี่ถ้วยอะไรก็แล้วแต่ แค่เพียงลำพัง มันช่างทำให้รู้สึกเหงาซะจริง คงจะดีไม่น้อยหากจะมีใครให้คุยไปด้วย

สภาวะนั่งทานราเมน หรือบะหมี่ถ้วยกึ่งสำเร็จรูปอยู่ตามลำพังจะไม่เกิดขึ้นกับคุณ เพียงแค่คุณมี Anti-loneliness Ramen Bowl "ชามบะหมี่ต้านความเหงา" ผลงานสุดบรรเจิดจาก MisoSoupDesign ในกรณีที่คุณหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทานบะหมี่อยู่เพียงลำพัง ด้วยชามบะหมี่ต้านความเหงา มันจะทำให้คุณไม่ต้องทานคนเดียวอย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป โดยไอเดียของมันง่ายมาก เพียงแค่เพิ่ม"ช่อง"ใส่สมาร์ทโฟนเข้าไปที่ขอบของชาม ซึ่งคาดว่า มันน่าจะต้องทำมาหลายขนาดสักหน่อย นอกจาก iPhone เพราะดูจากรูปแล้ว Galaxy Note ไม่น่าจะยัดลงไปในช่องได้อย่างแน่นอน

Anti-loneliness Ramen Bowl จะทำใหัคุณสามารถซดราเมนไปพร้อมกับเซย์ฮัลโหลกับเพื่อนๆ หรือวิดีโอแชทแบบเห็นหน้าคู่สนทนาอีกฝั่งที่อาจจะกำลังซดมาม่าด้วยชามแบบเดียวกันนี้ก็ได้ ประเด็นคือ ดูจากในรูปน้ำซุปบะหมี่ทีร้อนระอุจะทำให้เห็นฝ้าบนหน้าจอทุกครั้งที่คีบบะหมีขึ้นมาจากชาม หรือตอนเป่าให้บะหมีเย็นลง หรือเปล่า? อีกอย่างหนึ่งก็คือ ซุปราเมนจะกระเด็นไปติดหน้าจอมือถือให้เลอะเทอะจนต้องมาทำความสะอาด นอกจากลิ่นที่จะติดไปด้วย แต่หากข้อกังวลเหล่านี้ไม่อาจเทียบต่อความเหงาที่ต้องทานราเมนคนเดียวได้ Anti-loneliness Ramen Bowl ก็เหมาะกับคุณอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ทาง MisoSoupDesign ยังไม่ได้เปิดเผยเรื่องราคา ตลอดจนกำหนดวางตลาดออกมาอย่างชัดเจน คงมีแต่ภาพตัวอย่างชามที่ทำเสร็จแล้ว ให้ชมยั่วน้ำลายไปก่อนเท่านั้น 


ที่มา http://www.arip.co.th/news.php?id=416182

การใส่แบนเนอร์ส่วนหัวให้กับบล็อก

จากบทความแนะนำสภาพแวดล้อมทั่วไปของ Blogger จะพบว่าในส่วนหัวอนุญาตให้เราสามารถวางภาพส่วนหัว เพื่อใช้เป็นสัญญลักษณ์ของเว็บได้ 
วิธีการ ดำเนินการดังนี้
1. สร้างแบนเนอร์ตามที่ต้องการไว้ก่อน ขนาดแล้วแต่ท่านแต่ความกว้างไม่ควรน้อยกว่า 800 pixel ความสูงของภาพก็ลองออกแบบให้ดูเหมาะสม ไม่สูงมากจนเกินควร ขนาดมาตรฐานประมาณ 100 pixel  ถ้าใส่สูงมากก็จะกินพื้นที่หน้าจอแสดงผล

2.เมื่อเข้าทำงานในฐานะผู้สร้าง(ต้อง login เข้ามา) ซึ่งจะปรากฏรายละเอียดดังภาพด้านล่าง

3. ให้คลิกไปที่ปุ่ม รายการที่ post (หมายเลข 8) ตามรูปด้านล่าง



4. จะปรากฏหน้าต่างการทำงาน พร้อมเครื่องมือ ให้ท่านดูที่แถบกลุ่มเครื่องมือด้านซ้ายมือ เลือกรายการ รูปแบบ แล้วคลิก


5.ไปคลิกที่คำว่าแก้ไข ในบริเวณที่เรียกว่าส่วนหัว(หมายเลข 3) จะปรากฎหน้าต่างสำหรับ นำภาพเข้ามายังในหน้าเว็บ ดังภาพด้านล่าง 
6. ที่ปุ่ม Browse ให้ท่านคลิกแล้วไปยังตำแหน่งที่ท่านได้สร้างแบนเนอร์ส่วนหัวไว้ นำภาพเข้ามาตามวิธีการปกติ
7.ทำการกำหนดเงื่อนไขการจัดวาง หากไม่ต้องการให้เห็นข้อความ(ในที่นี้คือคำว่า northeducation) ให้เลือกรายการที่ วางคำอธิบายไว้หลังภาพ
สำหรับ checkbox คำว่า ลดขนาดให้พอดีนั้น ระบบจะปรับลดแบนเนอร์นี้ให้กว้างเพียง 760 pixel เพื่อการแสดงผลบนเว็บที่มีความกว้างเพียง 800 pixel เท่านั้น ซึ่งปัจจุบัน มีเว็บไซต์ความกว้างขนาดนี้ ไม่มากนัก
เมื่อดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ให้คลิกปุ่ม บันทึก  ก็เป็นอันว่าเสร็จสิ้นกระบวนการ

ที่มา http://mediathailand.blogspot.com/2012/03/blog-post_231.html

การเตรียมพร้อมด้านการศึกษาของไทย เพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียน


การเตรียมพร้อมด้านการศึกษาของไทย เพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียน

UploadImage

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เคยบรรยาย พิเศษเรื่อง "การเตรียมพร้อมด้านการศึกษาของไทย เพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียน ปี พ.ศ. ๒๕๕๘" ไว้ว่า ประเทศไทยเป็นผู้นำในการก่อตั้งสมาคมอาเซียน มีศักยภาพในการเป็นแกนนำในการสร้างประชาคมอาเซียนให้เข้มแข็ง ภายใต้ยุทธศาสตร์วิสัยทัศน์เดียว เอกลักษณ์เดียว และประชาคมเดียว เพื่อความเจริญมั่นคงของประชากร ทรัพยากร และเศรษฐกิจ

ภายใต้การก่อตั้งนี้จะต้องยึดหลักสำคัญ คือ ประชาคมการเมืองและความมั่นคงของอาเซียน ประชาคม เศรษฐกิจอาเซียน ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมของอาเซียน การศึกษานั้นจัดอยู่ในประชาคมสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญที่จะส่งเสริมให้ประชาคมด้านอื่นๆมีความเข้มแข็ง เนื่องจากการศึกษาเป็นรากฐานของการพัฒนาในทุกๆ ด้าน

การเตรียมความพร้อมของการศึกษาไทย มีจุดมุ่งหมาย ดังนี้

๑. การสร้างประชาคมอาเซียนด้วยการศึกษา ให้ประเทศไทยเป็น Education Hub มี การเตรียมความพร้อมในด้านกรอบความคิด คือ แผนการศึกษาแห่งชาติ ที่จะมุ่งสร้างความตระหนักรู้ของคนไทยในการจัดการศึกษาเพื่อสร้างคนไทยให้ เป็นคนของประชาคมอาเซียน พัฒนาสมรรถนะให้พร้อมจะอยู่ร่วมกันและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศด้าน การศึกษา โดยให้มีการร่วมมือกันใน ๓ ด้านคือ ด้านพัฒนาคุณภาพการศึกษา การขยายโอกาสทางการศึกษา ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการบริการและจัดการศึกษา

๒. ขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนด้วยการศึกษาด้วยการสร้างความเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศอาเซียน ความแตกต่างทางด้านชาติพันธุ์ หลักสิทธิมนุษยชน การส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศเพื่อพัฒนาการติดต่อสื่อสารระหว่าง กันในประชาคมอาเซียน มีการเพิ่มครูที่จบการศึกษาด้านภาษาอังกฤษเข้าไปในทุกระดับชั้นการศึกษา เพื่อให้นักเรียนไทยสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างสร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังมีการร่วมมือกับภาคเอกชนในการรับอาสาสมัครเข้ามาสอนภาษาต่าง ประเทศ รวมถึงวัฒนธรรมของประเทศต่างๆเพื่อการอยู่ร่วมกันด้วยความเข้าใจกันของ ประเทศในประชาคม

ส่วนด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษานั้น จะพัฒนาตามหลัก 3Nได้แก่ Ned Netโครงข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ NEISศูนย์กลางรวบรวม จัดเก็บ และเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษา NLCศูนย์ เรียนรู้แห่งชาติ เพื่อให้ผู้เรียนได้มีการเรียนรู้ด้วยตนเองตลอดเวลา มีการพัฒนาผู้เรียนสู่การเป็นพลเมืองอาเซียน การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ความเอื้ออาทร โดยใช้การศึกษาเป็นกลไกในการสร้างวัฒนธรรมใหม่ นักศึกษาที่จบจากอาชีวศึกษาจะต้องเป็นแรงงานที่มีคุณภาพ มีทักษะการทำงานร่วมกันในประชาคมอาเซียน

นอกจากนี้ ยังต้องส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านอาเซียนศึกษา เป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านศาสนาและวัฒนธรรม เพื่อพัฒนาไปสู่ประชาคมอาเซียนและสากลต่อไป

ที่มา  http://www.chinnaworn.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539155790&Ntype=1

วันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556

เทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่


เทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่

๑.๑ ระบบบอกตำแหน่ง

ปัจจุบันมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้บอกตำแหน่งบนพื้นโลกได้ คือ จีพีเอส (Global Positioning System: GPS) ทำงานร่วมกับดาวเทียม ในระดับความสูง 20,200 กิโลเมตร สามารถบอกตำแหน่งได้ทุกแห่งบนโลก โดยความแม่นยำขึ้นอยู่กับจำนวนดาวเทียมที่จีพีเอสทำงานร่วมและสภาพอากาศ

ปัจจุบันได้นำระบบนี้มาใช้งานด้านต่าง ๆ มากมาย เช่น การหาตำแหน่งบนพื้นโลก การนำมาสร้างเป็นระบบนำทาง (Navigator system) การใช้ติดตามบุคคลหรือติดตามยานพาหนะ นอกจากนี้ระบบจีพีเอสยังสามารถนำมาใช้อ้างอิงเพื่อปรับตั้งเวลาให้ถูกต้อง โดยใช้เวลาจากดาวเทียมทุกดวงซึ่งมีเวลาที่ตรงกัน

จีพีเอสนิยมใช้ในรถยนต์เพื่อเป็นระบบนำทาง โดยทำงานร่วมกับโปรแกรมแผนที่ที่บรรจุอยู่ในตัวเครื่อง ปัจจุบันมีการนำระบบจีพีเอสไปติดตั้งในเครื่องพีดีเอ กล้องดิจิทัล และโทรศัพท์เคลื่อนที่ การใช้งานจีพีเอสเพื่อระบุตำแหน่งบนพื้นโลกจำเป็นต้องติดต่อกับดาวเทียมอย่างน้อย ๓ ดวง ในกรณีที่ต้องการทราบความสูงของตำแหน่งจากพื้นโลกด้วย ต้องติดต่อกับดาวเทียมอย่างน้อย ๔ ดวง

๑.๒ อาร์เอฟไอดี

อาร์เอฟไอดี (Radio Frequency Identification: RFID) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นวิทยุในการอ่านข้อมูล ใช้ในระบบป้องกันการขโมยสินค้า ระบบอ่านบัตรประจำตัวพนักงาน ระบบเก็บค่าผ่านทาง โครงสร้างของระบบประกอบด้วย ๒ ส่วนย่อย คือ ทรานสปอนเดอร์ (Transponder) และเครื่องอ่าน (Reader)

ประโยชน์ของอาร์เอฟไอดี

๑) สามารถอ่านทรานสปอนเดอร์พร้อมกันได้หลายชิ้นและใช้เวลารวดเร็ว

๒) ทนทานต่อความเปียนชื้น

๓) มีความปลอดภัยสูง ยากต่อการปลอมแปลงและเลียนแบบ

๔) ป้องกันการอ่านข้อมูลซ้ำของวัตถุชิ้นเดียวกัน

๕) สามารถอ่านข้อมูลได้โดยไม่จำเป็นต้องมองเห็นตัวทรานสปอนเดอร์

๑.๓ เทคโนโลยีบรอดแบนด์ไร้สาย

ปัจจุบันระบบไร้สายได้รับความนิยมอย่างมาก เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบจีเอสเอ็ม (Global System for Mobile Communication: GSM) เทคโนโลยีที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีตั้งแต่ยุคที่ ๒ (2G) และยุคที่ ๓ (3G)

2G มีการบีบอัดสัญญาณเสียงในรูปแบบดิจิทัล การรับ-ส่งข้อมูลยังไม่มีประสิทธิภาพมากนัก

2.5G นำระบบจีพีอาร์เอส (General Packet Radio Service: GPRS) มาใช้ร่วมกับระบบจีเอสเอ็ม ทำให้สามารถรับ ส่งข้อมูและเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้

เทคโนโลยีจีพีอาร์เอสนี้สามารถสื่อสารข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูงสุด 171.2 กิโลบิตต่อวินาที ต่อมาได้มีการปรับปรุงระบบจีพีอาร์เอสให้มีความเร็วในการสื่อสารสูงขึ้นถึง 384 กิโลบิตต่อวินาที เทคโนโลยีนี้ชื่อว่า เอจ (Enhanced Data Rates for Global Evolution: EDGE) ซึ่งจัดอยู่ในยุค 2.75G

3G ทำงานในระบบซีดีเอ็มเอ (Code Division Multiple Access: CDMA) อัตราเร็วในการรับส่งข้อมูล (transmission rate) ไม่ต่ำกว่า 2 เมกะบิตต่อวินาที สามารถใช้งานมัลติมีเดียความเร็วสูงได้อย่างต่อเนื่อง เช่น การรับชมวีดิทัศน์จากอินเทอร์เน็ต การสนทนาแบบเห็นภาพคู่สนทนา จึงมีการพัฒนาบริการต่าง ๆ ขึ้นอีกมากมาย เช่น การให้บริการแบบมัลติมีเดียที่สามารถรับส่งข้อมูลขนาดใหญ่ การประชุมทางไกลผ่านหน้าจอของโทรศัพท์เคลื่อนที่

4G ทำให้การส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยความเร็วสูงกว่า 3G มีการให้บริการที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น อัตราในการส่งข้อมูลไม่ต่ำกว่า 100 เมกะบิตต่อวินาที

๑.๔ การประมวลผลภาพ

การประมวลผลภาพ (image processing) เป็นการนำภาพมาเปลี่ยนเป็นข้อมูลดิจิทัล เช่น

  – ระบบตรวจกระดาษคำตอบ

              – ระบบตรวจจับใบหน้าในกล้องดิจิทัล  

              – ระบบอ่านบาร์โค้ด

              – ระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวเพื่อการรักษาความปลอดภัย

๑.๕ การแสดงภาพ ๓ มิติ

เทคนิคการแสดงภาพ ๓ มิติ เป็นการนำภาพ ๒ มิติมาแสดงผล โดยมีเทคนิคการแสดงภาพที่ทำให้ตาข้างซ้ายและตาข้างขวามองเห็นภาพของวัตถุเดียวกันในมุมมองที่แตกต่างกัน ส่งผลให้สมองตีความเป็นภาพที่มีความลึก ตัวอย่างเทคนิคการแสดงภาพ ๓ มิติ มีดังนี้

- การแสดงภาพแบบแอนะกลิฟ (anaglyph) เป็นการฉายภาพสำหรับตาซ้ายและตาขวาที่มีโทนสีที่แตกต่างกันลงบนฉากรับภาพเดียวกัน โทนสีที่ใช้มักจะเป็นสีแดงและน้ำเงิน การมองด้วยตาเปล่าจะทำให้เห็นเป็นภาพซ้อนและเหลื่อมกันเล็กน้อย การมองภาพ ๓มิติ ต้องใช้แว่นที่มีแผ่นกรองแสงด้านหน้าที่มีข้างหนึ่งเป็นสีแดงและอีกข้างหนึ่งเป็นสีน้ำเงิน

         - การแสดงภาพแบบโพลาไรซ์ ๓ มิติ (polarized 3-D) มีการทำงานคล้ายกับแอนะกลิฟ โดยฉายภาพลงที่ฉากรับภาพเดียวกัน มุมมองของภาพที่แตกต่างกันแต่เปลี่ยนจากการใช้สี ไปใช้วิธีการวางตัวของช่องมองภาพแต่ละภาพที่ซ้อนกันแทน เช่น แว่นตาข้างซ้ายจะมองภาพผ่านช่องในแนวตั้ง ส่วนแว่นตาข้างขวาจะมองภาพผ่านช่องในแนวนอน ทำให้ตาแต่ละข้างมองเห็นภาพไม่เหมือนกัน เมื่อสมองรวมภาพจากตาข้างซ้ายและขวา จะมองเห็นภาพเป็น ๓มิติ

          – การแสดงภาพแบบแอ็กทิฟชัตเตอร์ (active shutter) อาศัยการฉายภาพที่มีความถี่ในการแสดงภาพอย่างน้อย 120 เฮิร์ต เนื่องจากต้องแสดงภาพสำหรับตาซ้ายและตาขวาสลับกันไปจนครบ 120 ภาพ ใน 1 วินาที ตาข้างซ้ายและขวาจึงเห็นข้างละ 60 ภาพใน 1 วินาที ซึ่งเป็นความถี่ขั้นต่ำที่ทำให้ไม่รู้สึกว่าภาพสั่น การฉายภาพลักษณะนี้ต้องใช้แว่นตาแอ็กทิฟชัตเตอร์ช่วยในการมองเห็นภาพ โดยแว่นตาจะสื่อสารกับเครื่องฉายว่าจะบังตาข้างไหนในขณะฉายภาพ เช่นภาพสำหรับตาซ้าย เครื่องฉายจะส่งสัญญาณให้แว่นบังตาขวา ดังนั้นแว่นนี้ต้องใช้สัญญาณไฟฟ้าในการทำงาน ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีนี้ เช่น โทรทัศน์ 3 มิติ

          – การแสดงภาพแบบพาราแลกซ์บาร์เรีย (paralax barrier) จะไม่ใช่แว่นตา วิธีนี้จะแบ่งภาพที่มีมุมมองต่างกันออกเป็นแท่งแล้วนำไปวางสลับกัน โดยมีชั้นกรองพิเศษ ทีเรียกว่า พาราแลกซ์บาร์เรีย ในการแบ่งภาพให้ตาแต่ละข้างที่มองผ่านชั้นกรองนี้เห็นภาพที่แตกต่างกัน แล้วสมองจะรวมภาพจากตาซ้ายและตาขวาที่มีมุมมองต่างกันนี้ให้เป็นภาพเดียวกัน ทำให้เรามองเห็นเป็นภาพ ๓ มิติ เช่น กล้องดิจิทัล ๓ มิติ ที่เราสามารถมองเห็นภาพถ่ายบนจอแอลซีดีเป็นภาพ ๓ มิติ

๑.๖ มัลติทัช

รับข้อมูลโดยใช้นิ้วสัมผัสที่จอภาพโดยตรง เรียกว่า จอสัมผัส (touch screen) ทำให้การใช้งานมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้โดยตรง เช่น จอสัมผัสตู้เอทีเอ็ม จอสัมผัสแสดงข้อมูลร้านค้าในห้างสรรพสินค้า จอสัมผัสเครื่องจีพีเอส จอสัมผัสเครื่องพีดีเอ จอสัมผัสสมาร์ทโฟน จอสัมผัสเหล่านี้สั่งการโดยใช้สไตลัส (Stylus) หรือนิ้วสัมผัสบนจอ การสั่งการที่สัมผัสจอภาพทีละจุด เรียกว่าซิงเกิลทัช (Single touch)

ปัจจุบันสามารถรองรับคำสั่งผ่านหน้าจอสัมผัสได้หลายจุดพร้อมกัน เรียกว่า มัลติทัช (multi touch) ทำให้มีการปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ และสมาร์โฟนแตกต่างออกไป แทนที่จะให้อุปกรณ์นั้นรับรู้การเลือกได้เพียงจุดเดียวในเวลาหนึ่ง ทำให้อุปกรณ์รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นจากการเลือกหลายจุดพร้อมกันในเวลาเดียวกัน การรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากรูปแบบการเคลื่อนไหวของนิ้วมือหลายนิ้วของผู้ใช้สัมผัสไปบนจอภาพโดยตรง หรือในเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ผู้ใช้สามารถสัมผัสแผงแป้นสัมผัสหรือเรียกว่า ทัชแพด (touchpad) เพื่อเลือก เลื่อน หรือขยายวัตถุที่แสดงผลอยู่